Toxic Workplace ปัญหาที่กัดกินสุขภาพจิตคนทำงานแบบไม่รู้ตัว
ตื่นมาแล้วรู้สึกหนักใจ ไม่อยากไปทำงาน เดินเข้าออฟฟิศแล้วรู้สึกหายใจไม่อยู่ ทำงานเสร็จแล้วก็เหนื่อยล้าจนไม่อยากทำอะไร แม้จะอยู่ท่ามกลางคน แต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน นี่แหละสัญญาณของ “Toxic Workplace” ที่ค่อยๆ ทำร้ายสุขภาพจิตโดยไม่รู้ตัว สถิติที่น่าตกใจ
65% ของพนักงานไทยเคยประสบ Toxic Workplace 8 ใน 10 คนคิดลาออกเพราะบรรยากาศการทำงานแย่ ปัญหาสุขภาพจิตจากงาน เพิ่มขึ้น 200% ในรอบ 5 ปี ที่น่ากลัวที่สุด หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ จนลืมไปว่า การทำงานควรจะช่วยให้เราเติบโต ไม่ใช่ทำลายเรา
พฤติกรรมที่บ่งบอกว่าออฟฟิศกำลัง “Toxic”
ปัญหาจากผู้บริหาร/เจ้านาย
- เจ้านายไม่ฟังทีมงาน มีแต่สั่ง ไม่รับฟังความคิดเห็น
- Micromanagement คอยจับผิด ตรวจสอบทุกการเคลื่อนไหว
- เอาใจใส่เฉพาะคนที่ชอบ เลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน
- ไม่ให้เครดิต เอาผลงานคนอื่นมาเป็นของตัวเอง
- ด่าต่อหน้าคนอื่น ทำให้อับอาย ไม่เก็บหน้าให้
- เปลี่ยนกฎเกณฑ์บ่อยๆ ทำให้งงว่าต้องทำอะไร
ปัญหาจากเพื่อนร่วมงาน
- เพื่อนร่วมงานแข่งกัน มากกว่าร่วมมือกัน
- ไม่สร้างสรรค์ ชอบซุบซิบ นินทา ลากันให้ตกต่ำ
- เอาเปรียบซึ่งกันและกัน แย่งงาน แย่งเครดิต
- แบ่งแยกเป็นกลุ่ม มีกิ๊กการเมือง ไม่ยอมร่วมมือ
- ไม่ช่วยเหลือกัน ปล่อยให้คนอื่นจมทั้งที่ช่วยได้
- กดดันคนใหม่ ไม่ยอมสอนงาน หรือสอนผิดๆ
ปัญหาจากระบบองค์กร
- ขาดการสนับสนุนและความเข้าใจ ไม่มีใครใส่ใจความรู้สึก
- งานหนักเกินไป แต่ไร้สมดุลชีวิต ต้องทำงานนอกเวลาเป็นปกติ
- ไม่มีโอกาสเติบโต ไม่มีการฝึกอบรม หรือเลื่อนตำแหน่ง
- การสื่อสารแย่ ข้อมูลไม่ชัดเจน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด
- ไม่มีความยุติธรรม การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งไม่โปร่งใส
- สภาพแวดล้อมแย่ เสียงดัง แออัด ไม่มีความเป็นส่วนตัว
สัญญาณที่ร่างกายและจิตใจ
อาการทางกาย
- ปวดหัวทุกวันจันทร์ หรือก่อนไปทำงาน
- นอนไม่หลับ ตื่นกลางคืนคิดเรื่องงาน
- อาการท้องเสีย หรือปวดท้องเรื้อรัง
- ผมร่วง ผิวหนังแย่ลง จากความเครียด
- เจ็บป่วยง่าย เพราะภูมิคุ้มกันตก
- เหนื่อยล้าตลอดเวลา แม้จะนอนพอ
อาการทางจิตใจ
- รู้สึกวิตกกังวลตั้งแต่วันอาทิตย์เย็น
- ไม่มีแรงจูงใจ ทำอะไรก็ไม่สนุก
- โมโหง่าย หงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆ
- รู้สึกไร้ค่า ไร้ความสามารถ
- คิดลบกับตัวเองบ่อยๆ
- เริ่มมีอาการซึมเศร้า ไม่อยากเจอใคร
ผลต่อชีวิตส่วนตัว
- เอาความเครียดไปใส่คนในครอบครัว
- ไม่มีเวลาหรือแรงใจให้เพื่อนฝูง
- ไม่อยากทำกิจกรรมที่เคยชอบ
- ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น
- ใช้เงินเยอะขึ้น เพื่อซื้อความสุขชั่วคราว
วิธีรับมือ Toxic Workplace
ตั้งขอบเขตเวลางาน–เวลาส่วนตัว
- ปิดโทรศัพท์งาน หลังเลิกงาน และวันหยุด
- ไม่ตรวจอีเมลงาน ที่บ้าน เว้นแต่จำเป็นจริงๆ
- เรียนรู้ที่จะพูด “ไม่” เมื่องานเกินขีดจำกัด
- ใช้วันหยุดพักผ่อน ให้เต็มที่ อย่าเก็บสะสม
- สร้างกิจวัตรหลังเลิกงาน ที่ช่วยให้คลายเครียด
หาคนที่ไว้ใจคุย เพื่อคลายความกดดัน
- คุยกับครอบครัว เพื่อนนอกที่ทำงาน ที่เข้าใจและให้กำลังใจ
- หาเพื่อนร่วมงานที่ดี ที่สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
- เข้ากลุ่มช่วยเหลือ หรือชุมชนออนไลน์ที่มีปัญหาคล้ายกัน
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ นักจิตวิทยา หรือ Life Coach
- เขียน Journal บันทึกความรู้สึกและความคิด
หาโอกาสพัก เติมพลังใจให้ตัวเอง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ วิ่ง เดิน โยคะ หรือกิจกรรมที่ชอบ
- ทำกิจกรรมที่ชอบ อ่านหนังสือ ฟังเพลง วาดรูป ปลูกต้นไม้
- ใช้เวลากับธรรมชาติ เดินในสวน ไปทะเล ขึ้นเขา
- ฝึกสมาธิ หรือการหายใจ เพื่อจัดการกับความเครียด
- หาความรู้ใหม่ เรียน Course ออนไลน์ ภาษาใหม่
สร้างแผนสำหรับอนาคต
- พัฒนาทักษะใหม่ ที่จะเปิดโอกาสงานอื่น
- สร้างเครือข่าย (Network) นอกองค์กร
- เก็บเงินฉุกเฉิน สำหรับเปลี่ยนงาน
- อัปเดตเรซูเม่ และหาข้อมูลงานใหม่
- ฝึกทักษะ Interview เตรียมพร้อมสำหรับโอกาสใหม่
เมื่อไหร่ควรคิดถึงการปรับเปลี่ยน (ลาออก)
- ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตอย่างรุนแรง นานกว่า 6 เดือน
- ถูกกลั่นแกล้ง (Bullying) หรือคุกคาม
- ถูกเลือกปฏิบัติเรื่องเพศ เชื้อชาติ ศาสนา
- ต้องทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย หรือขัดต่อหลักการ
- ไม่ได้รับเงินเดือน หรือถูกหักเงินไม่เป็นธรรม
- มีความคิดทำร้ายตัวเอง หรือไม่อยากมีชีวิตอยู่
- การลาออกไม่ใช่การแพ้ แต่เป็นการเลือกที่จะดูแลตัวเอง
ออฟฟิศที่ดีควรเป็นแบบไหน
- ผู้นำที่ดีรับฟังความคิดเห็นและให้ Feedback สร้างสรรค์ สนับสนุนการเติบโตของทีม ไม่กลัวลูกน้องเก่งกว่า ยอมรับความผิดพลาด และเรียนรู้จากมัน ใส่ใจความรู้สึกและสุขภาพของทีม
- วัฒนธรรมการทำงานที่ดีร่วมมือกัน แทนที่จะแข่งขันทำลายกัน เปิดใจรับฟังและเรียนรู้จากกัน มี Work-Life Balance ที่แท้จริง เคารพในความแตกต่างและมีความเป็นธรรม
- สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงาน มีพื้นที่พักผ่อน และกิจกรรมคลายเครียด การสื่อสารที่ชัดเจนและโปร่งใส โอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ความมั่นคงและความก้าวหน้าในอาชีพ
- ทำอย่างไรหากคุณเป็นผู้บริหาร ใส่ใจทีมงานอย่างจริงจัง ถามความรู้สึก และรับฟังปัญหา
- สร้างบรรยากาศที่ปลอดภัย ให้คนกล้าพูดความจริง ให้ Feedback แบบสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่จับผิด เป็นตัวอย่างที่ดี ในเรื่อง Work-Life Balance ลงทุนในการพัฒนาทีม ทั้งทักษะและความสุข
สุขภาพใจสำคัญไม่แพ้หน้าที่การงาน ออฟฟิศที่ดี ควรเป็นพื้นที่ให้คุณเติบโต ไม่ใช่ที่ที่กัดกินหัวใจงานที่ดี ไม่ใช่แค่งานที่ให้เงินเดือนดี แต่เป็นงานที่ให้คุณ เติบโต มีความสุข และมีศักดิ์ศรีคุณสมควรได้รับการปฏิบัติอย่างดี ทั้งในฐานะมนุษย์และผู้ร่วมงาน อย่ายอมให้ที่ทำงานที่ไม่ดี มาทำลายความเป็นคุณ คุณคุ้มค่าที่จะได้รับสิ่งที่ดี และคุณมีสิทธิ์ที่จะเลือกสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขชีวิตสั้นเกินไปที่จะไปทำในสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่วันนี้
Post Views: 26