ClinicInsights.asia

Logo Footer Clinic Insights
ตื่นเช้าไปทำงานร่างกายอ่อนล้า แต่ต้องฝืนยิ้มสู้…ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความกดดัน

ตื่นเช้าไปทำงานแบบหมดแรง อาจเป็นสัญญาณความเครียดเรื้อรังที่ไม่ควรมองข้าม

ตื่นเช้าไปทำงานร่างกายอ่อนล้า แต่ต้องฝืนยิ้มสู้…ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความกดดัน

กดปุ่มปิดนาฬิกาปลุกแล้วอยากร้องไห้ เพราะไม่อยากไปทำงาน ตื่นเช้าแต่งหน้าให้สวย ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แต่ข้างในใจกลับพัง ยิ้มให้เพื่อนร่วมงาน แต่หัวใจกรีดร้องว่า “ช่วยด้วย”  รู้ไหมว่า… พนักงานไทยกว่า 40% กำลังเผชิญกับภาวะเครียดสูง และอีก 60% รู้สึกว่างานส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต 8 ใน 10 คน นอนไม่หลับเพราะคิดเรื่องงาน 7 ใน 10 คน อยากลาออกจากงานเพราะเหนื่อยใจ สิ่งที่น่าสะเทือนใจ คือ หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ จนลืมไปว่า การทำงานควรจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่ทำลายชีวิต 

ปัจจัยที่ทำให้ความเครียดพุ่ง 

ภาระงานที่ล้นมือ

  • งานหนักเกินไป มีแต่ “ASAP” และ “Urgent” 
  • ไม่มีเวลาพัก กินข้าวเที่ยงยังต้องรีบ 
  • ต้องทำงานล่วงเวลาเป็นประจำ แต่ไม่ได้ค่าล่วงเวลา 
  • รับผิดชอบงานของคนอื่นที่ลาออก โดยไม่ได้เพิ่มคน 
  • เป้าหมายที่เอาไม่อยู่ KPI ที่สูงเกินจริง 

.

แรงกดดันจากหัวหน้าและองค์กร

  • หัวหน้าที่ไม่เข้าใจ หรือคอยจับผิด micromanage 
  • การสื่อสารในองค์กรแย่ ไม่รู้ว่าทำอะไรถูกหรือผิด 
  • ไม่ได้รับการยอมรับ หรือชมเชยเมื่อทำงานดี 
  • กลัวถูกไล่ออก ต้องอดทนกับสิ่งที่ไม่ควรอดทน 
  • วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการแข่งขัน แทนที่จะร่วมมือ 

ความไม่มั่นคงทางการเงิน

  •  เงินเดือนไม่เพียงพอกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น 
  •  ไม่แน่ใจว่าจะมีงานทำต่อไปหรือไม่ 
  •  ไม่มีโอกาสก้าวหน้า หรือเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง 
  •  สวัสดิการที่ไม่เพียงพอ ประกันสุขภาพไม่ครอบคลุม 
  •  ต้องหางานพิเศษเพื่อประทังชีวิต 

บรรยากาศออฟฟิศที่ไม่น่าอยู่

  •  เพื่อนร่วมงานที่ชอบซุบซิบ หรือแย่งกันทำงาน 
  •  ไม่มีพื้นที่ส่วนตัว รู้สึกอึดอัด 
  •  สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เสียงดัง อากาศไม่ถ่ายเท
  •  ไม่มีที่พักผ่อน หรือกิจกรรมคลายเครียด
  •  การเลื่อนขั้นไม่โปร่งใส พวกพ้องมากกว่าความสามารถ 

ผลกระทบที่ตามมา 

ผลต่อร่างกาย

  •  ปวดหัวเป็นประจำ บางทีถึงกับไมเกรน 
  •  นอนไม่หลับ หรือตื่นกลางดึกคิดเรื่องงาน 
  •  กังวลเรื้อรัง หัวใจเต้นเร็วโดยไม่มีเหตุผล 
  •  ปวดคอ ปวดหลัง จากความตึงเครียด 
  •  ทานอาหารไม่ได้ หรือกินมากเกินไป 
  •  เจ็บป่วยง่าย เพราะภูมิคุ้มกันตก 

ผลต่อจิตใจ

  •  หมดไฟในการทำงาน ทำอะไรก็ไม่มีกำลังใจ 
  •  รู้สึกไร้ค่า คิดว่าตัวเองทำงานไม่เก่ง 
  •  โมโหง่าย หงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ 
  •  เศร้า ท้อแท้ ไม่มีความหวังในอนาคต 
  •  กลัดกลุ้ม วิตกกังวลเรื่องงานตลอดเวลา 

ผลต่อความสัมพันธ์

  •  ความสัมพันธ์ในครอบครัวแย่ลง เอาความเครียดไปใส่คนที่รัก 
  •  ไม่มีเวลาให้เพื่อนฝูง สังสรรค์น้อยลง 
  •  ไม่มีกำลังใจที่จะใส่ใจคนรอบข้าง 
  •  รู้สึกโดดเดี่ยว แม้จะอยู่ท่ามกลางคน 
  •  ขาดความอดทนกับคนใกล้ชิด 

ผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน

  •  สมาธิแย่ลง ทำงานผิดพลาดบ่อย 
  •  ความคิดสร้างสรรค์ลดลง 
  •  ขาดแรงจูงใจในการพัฒนาตัวเอง 
  •  มาทำงานสาย หรือขาดงานบ่อย 

 วิธีรับมือกับความเครียดจากงาน

 สร้างเกราะป้องกันใจ

  • ตั้งขอบเขตชัดเจน ระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว 
  • เรียนรู้ที่จะพูด “ไม่” เมื่องานเยอะเกินไป 
  • อย่าตรวจอีเมลหลังเลิกงาน และวันหยุด 
  • หาความหมายในงานที่ทำ มองว่าช่วยใครได้บ้าง 

เทคนิคจัดการความเครียดในที่ทำงาน

  • หายใจลึก 4-4-4 เมื่อรู้สึกเครียด (หายใจเข้า 4 วิ กลั้น 4 วิ หายใจออก 4 วิ) 
  • พักสายตาจากคอมพิวเตอร์ ทุก 20 นาที มอง 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วิ 
  • ลุกยืดเหยียด หรือเดินไปดื่มน้ำทุก 1 ชั่วโมง 
  • ฟังเพลงที่ชอบ ขณะทำงานที่ไม่ต้องใช้สมาธิมาก 

สร้างเครือข่ายช่วยเหลือ

  • คุยกับเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจ แบ่งปันความรู้สึก 
  • หาพี่เลี้ยงในที่ทำงาน (Mentor) ที่ให้คำปรึกษาได้ 
  • เข้าร่วมกิจกรรมของบริษัท เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี 
  • ร่วมมือกันแทนที่จะแข่งขัน ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน 

ดูแลตัวเองนอกเวลาทำงาน

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เดิน วิ่ง โยคะ หรือกิจกรรมที่ชอบ 
  • มีงานอดิเรก ที่ทำให้ลืมเรื่องงาน เช่น ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ 
  • ใช้เวลากับคนที่รัก ครอบครัว เพื่อน คนสำคัญ 
  • หาที่ปรึกษา หรือนักจิตวิทยา หากรู้สึกว่าจัดการไม่ไหว 

เมื่อไหร่ควรคิดเปลี่ยนงาน 

  • หากคุณมีอาการเหล่านี้นานกว่า 3-6 เดือน
  • งานส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตอย่างรุนแรง 
  • ไม่มีโอกาสเติบโต หรือพัฒนาตัวเอง 
  • วัฒนธรรมองค์กรไม่เข้ากับคุณค่าของคุณ 
  • ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือถูกกลั่นแกล้ง 

การลาออกไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นการเลือกที่จะใส่ใจตัวเอง  ถึงเวลาแล้วที่องค์กรควรสนับสนุน Work-life Balance องค์กรที่ดีควรมีนโยบาย Flexible Working ทำงานที่บ้าน หรือเลือกเวลาได้ วันหยุดสุขภาพจิต (Mental Health Day) การฝึกอบรมเรื่องการจัดการความเครียด ให้พื้นที่พักผ่อนในออฟฟิศ ที่เอื้อต่อการคลายเครียด ประกันสุขภาพที่ครอบคลุมสุขภาพจิต ช่องทางร้องเรียนที่ปลอดภัย และเป็นความลับการลงทุนในสุขภาพใจพนักงานเท่ากับการลงทุนในอนาคตองค์กร

เพราะ “สุขภาพใจ” คือสิ่งที่ทำให้ทุกคนทำงานได้อย่างยั่งยืน พนักงานที่มีสุขภาพจิตดี จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างสรรค์ อยู่กับองค์กรยาวนาน ลดต้นทุนการหาคนใหม่ เป็นตัวแทนองค์กรที่ดี ในสังคม สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี ให้คนรอบข้าง องค์กรที่เข้าใจเรื่องนี้ จะเป็นผู้ชนะในระยะยาว 

📞 ขอความช่วยเหลือได้ที่

สายด่วนสุขภาพจิต: 1323 (24 ชั่วโมง ฟรี)

สายด่วนไลฟ์ไลน์: 1422

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *