ClinicInsights.asia

Logo Footer Clinic Insights
ติดจอ ติดเกม ติดมือถือ… พฤติกรรมที่ค่อย ๆ ทำร้ายสมองและหัวใจ

ติดจอ ติดเกม ติดมือถือ… พฤติกรรมที่ค่อย ๆ ทำร้ายสมองและหัวใจ

ติดจอ ติดเกม ติดมือถือ… พฤติกรรมที่ค่อย ๆ ทำร้ายสมองและหัวใจ

โทรศัพท์มือถือและเทคโนโลยีหน้าจอได้กลายเป็นชีวิตประจำวันไปแล้ว ทั้งการทำงาน การเรียน และการสื่อสารกับคนรอบตัว แต่สิ่งที่ควรระวังคือ การใช้งานที่มากเกินความจำเป็น มันอาจกลายเป็น “การเสพติด” ที่ค่อย ๆ สร้างผลเสียสะสมต่อทั้งสมองและสุขภาพใจ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังอยู่ในวงจรอันตราย

ทำไมเราถึงติดจอ

  1. ความสุขชั่วคราวจากสารเคมีในสมอง

เวลาที่เราชนะเกมหรือได้รับการกดไลก์ สมองจะหลั่งสารโดปามีน ทำให้เกิดความสุขแบบฉับพลัน จนอยากกลับมาทำซ้ำเรื่อย ๆ

  1. พฤติกรรมที่กลายเป็นนิสัย

หลายคนหยิบมือถือขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไม่มีเหตุผล เช่น ระหว่างรอคิว หรือก่อนนอน

  1. ความกลัวการตกข่าว (FOMO)

ความรู้สึกว่าถ้าไม่ออนไลน์อาจพลาดสิ่งสำคัญ ทำให้คนยุคนี้เปิดมือถือแทบจะตลอดเวลา

  1. ความรู้สึกว่าควบคุมได้

เราอาจล้มเหลวหรือผิดหวัง แต่ในเกมหรือโลกเสมือน เรามีสิทธิ์เลือกและสร้างความสำเร็จได้ง่าย

ผลเสียที่สะสมจากพฤติกรรมติดจอ

1. สมองและการเรียนรู้

งานวิจัยหลายชิ้นยังพบว่า เด็กและวัยรุ่นที่ใช้จอมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน มีระดับ ความสามารถด้านสมาธิและความคิดสร้างสรรค์ต่ำกว่า เด็กที่ใช้เวลาในโลกจริงมากกว่า

  • สมาธิสั้นลง ทำงานหรือเรียนไม่ต่อเนื่อง
  • ความจำระยะสั้นลดลง เพราะสมองถูกกระตุ้นตลอดเวลาโดยการแจ้งเตือน
  • มีแนวโน้มทำหลายอย่างพร้อมกัน (Multitasking) แต่คุณภาพงานลดลง

2. สุขภาพกาย

  • ปัญหาสายตา ตาล้า แสบตา และเสี่ยงสายตาสั้นถาวร
  • กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ ตึงจากการก้มจอนาน ๆ
  • ระบบนอนถูกรบกวน แสงสีฟ้าจากจอทำให้ฮอร์โมนเมลาโทนินลดลง ส่งผลให้หลับยาก

3. สุขภาพใจ

  • เครียด วิตกกังวลง่ายขึ้น เพราะสมองถูกกระตุ้นตลอดเวลา
  • เกิด “การเปรียบเทียบทางสังคม” จากโซเชียล มีผลให้รู้สึกด้อยค่าและซึมเศร้า
  • พฤติกรรมก้าวร้าว โดยเฉพาะจากการเล่นเกมรุนแรง

4. ความสัมพันธ์

  • เวลาอยู่กับครอบครัวหรือเพื่อนน้อยลง เพราะสายตาจับอยู่ที่จอ
  • คู่รักหลายคู่มีปัญหาเพราะอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับมือถือมากกว่าการพูดคุยกัน
  • เด็กและวัยรุ่นบางคนห่างเหินจากพ่อแม่ เพราะเลือกใช้เวลาส่วนใหญ่กับเกมและเพื่อนออนไลน์

สัญญาณเตือนว่าคุณอาจติดมือถือหรือติดเกม

  • ใช้เวลาหน้าจอเกิน 5–6 ชั่วโมงต่อวันโดยไม่เกี่ยวกับงานหรือการเรียน
  • รู้สึกหงุดหงิด วิตกกังวล หรือว่างเปล่าเมื่อไม่ได้จับโทรศัพท์
  • ตื่นเช้ามาต้องเช็กมือถือทันที
  • ละเลยหน้าที่การงานหรือความสัมพันธ์เพราะออนไลน์
  • ใช้มือถือเพื่อหนีปัญหา แทนที่จะหาทางแก้ไข

วิธีลดพฤติกรรมติดจอ

1. กำหนดเวลากับตัวเอง

เช่น กำหนดเวลาการเล่นเกมไม่เกินวันละ 1–2 ชั่วโมง หรือหยุดใช้โซเชียลหลังสามทุ่ม

2. สร้างกิจกรรมออฟไลน์

หากิจกรรมใหม่ ๆ ที่ไม่ต้องใช้หน้าจอ เช่น ทำอาหาร อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้

3. จัดโซนปลอดมือถือ

ห้องนอนหรือโต๊ะอาหารควรเป็นพื้นที่ที่ไม่มีมือถือ เพื่อให้ร่างกายและสมองได้พักจริง ๆ

4. เลี่ยงหน้าจอก่อนนอน

ควรวางมือถือให้ห่างเตียง และใช้เวลาอ่านหนังสือเบา ๆ หรือฝึกหายใจแทน

5. Digital Detox

จัดวันหยุดจากโซเชียล เช่น ทุกวันอาทิตย์หรือเดือนละครั้ง เพื่อทบทวนตนเองและใช้เวลาอยู่กับครอบครัว

บทบาทครอบครัวและสังคม

  • ครอบครัว ควรทำกิจกรรมร่วมกันโดยไม่มีมือถือ เช่น ทำอาหาร เล่นกีฬา
  • โรงเรียน จัดกิจกรรมกลางแจ้งและสร้างวัฒนธรรมการใช้เทคโนโลยีอย่างพอดี
  • ที่ทำงาน ส่งเสริมให้มีเวลาพักสายตา และไม่สร้างวัฒนธรรมที่ต้องออนไลน์ตลอดเวลา

ตัวอย่างจากชีวิตจริง

มีวัยรุ่นหลายคนที่เริ่มจากเล่นเกมเพียงวันละ 1–2 ชั่วโมง แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลายเป็นเล่นทั้งวันทั้งคืนจนสุขภาพร่างกายทรุดโทรม บางคนผลการเรียนตกต่ำ และมีปัญหาความสัมพันธ์กับครอบครัว นี่คือตัวอย่างที่ยืนยันว่า “ติดจอ” ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่ค่อย ๆ สะสมจนกลายเป็นปัญหาใหญ่

การใช้มือถือและหน้าจอเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต แต่สิ่งที่เราต้องไม่ลืมคือ การควบคุมขอบเขต เพื่อไม่ให้มันกลายเป็นตัวควบคุมชีวิตแทน การหมั่นสำรวจพฤติกรรมของตนเองและสร้างสมดุลระหว่างโลกออนไลน์กับโลกจริง จะช่วยให้เราใช้เทคโนโลยีอย่างมีประโยชน์ และยังรักษาสมองและหัวใจให้แข็งแรงไปพร้อมกัน เพราะสุดท้ายแล้ว เทคโนโลยีควรเป็นเพื่อน ไม่ใช่เจ้านายที่ครอบงำชีวิตเรา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *